วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องราวของญี่ปุ่นที่เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมหลังจากมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เกือบปีครึ่ง

เรื่องราวของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม หรือของใช้ หรืออื่น ๆ ที่เรารู้สึกว่าได้เรียนรู้เป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ หลังจากที่เราย้ายมาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่บ้านได้เกือบปีครึ่ง (เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมาเรียนแลกเปลี่ยน กับมาฝึกงานอย่างละปี) ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เลยอยากเขียนเก็บไว้เผื่ออยากย้อนเวลาตอนที่เราอยู่ ณ ตอนนี้ตัวเองคิดอะไรยังไง ^0^

(ไม่ได้เรียงลำดับนะ นึกเรื่องอะไรได้ก็เขียนเลย อิอิ)

ข้อที่ 1. ของใช้หน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่แยกประเภทการใช้งาน อย่างเช่น ฟองน้ำล้างจาน ถ้าเราไปซื้อก็คงไม่ได้ดูถึงว่าแบบนี้สำหรับล้างจาน แบบนี้สำหรับงานอย่างอื่น

ข้อที่ 2. ถ้าเราแปะที่หน้าประตูบ้านว่า “ไม่ขอรับใบปลิว โฆษณา” คนแจกก็ไม่มาหยอดที่ตู้ไปรษณีย์บ้านเราจริงๆ  เว้นแต่คนที่เขาไม่ยอมรับรู้ 555 แจกอย่างเดียว

ข้อที่ 3. เวลาตั้งโต๊ะอาหาร สำหรับครอบครัวของเราจะไม่ค่อยอะไรมากมาย แต่เท่าที่เราสังเกตครอบครัวอื่น ๆ เขาจะแยกถ้วยชาม แก้วน้ำ รวมถึงตะเกียบของใครเป็นของใครไว้เลย สำหรับแขกก็จะมีแยกเอาไว้

ข้อที่ 4. ที่ญี่ปุ่น อิงคังเปรียบเสมือนเป็นลายเซ็นของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี  อิงคังส่วนตัวที่เอาไปลงทะเบียนอิงคังที่สำนักงานเขตแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้กับธนาคารแล้วก็การติดต่อราชการ ถ้าเป็นเรื่องอื่น ๆ ที่จะต้องใช้อิงคิง ก็สามารถใช้ของที่ไม่ได้ไปลงทะเบียนก็ได้
ข้อที่ 5. KFC ที่ญี่ปุ่น (โตเกียว) เขาเรียก kentaki (เคนตักกี่) หล่ะ

ข้อที่ 6. การแยกและทิ้งขยะ เราต้องแยกขยะตามที่ทางสำนักเขตเขาได้ระบุไว้ และทิ้งในวันที่กำหนด ถ้าเราไม่ได้ทำตามนั้น อย่างกล่องลูกฟูก ถ้าไม่ได้พับให้เรียบร้อยก่อนทิ้ง ทิ้งทั้งสภาพที่ยังเป็นกล่อง พนักงานเก็บขยะก็จะไม่เก็บ ถึงจะเป็นวันขยะกระดาษ ก็ไม่เก็บ ถ้าขยะชิ้นนั้นเป็นของเรา ถึงคนอื่นไม่รู้ แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะต้องเจอมันทุกวัน

ข้อที่ 7. เวลาเราเจอเพื่อนบ้าน เจอเพื่อน เจอคนรู้จัก หรือเวลาไปบ้านคนอี่น ควรจะทักทายด้วย “โอะฮะโยโกะไซมัส หรือคอนนิจะวะ หรือ คอมบังวะ” ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขัน ซึ่งคำทักทายถ้าแปลเป็นไทยก็คือ “สวัสดีครับ / ค่ะ” นั่นเอง

ข้อที่ 8. การใช้บันไดเลื่อน ถ้าเป็นในแถบโตเกียว ปกติจะยืนด้านซ้าย ถ้าต้องการรีบ ก็ให้เดินทางด้านขวา  แต่ถ้าเป็นแถบโอซาก้า ปกติจะยืนด้านขวา ถ้าต้องการรีบ ก็ให้เดินทางด้านซ้าย

ข้อที่ 9. กฏการขับรถของญี่ปุ่น
  - ถ้าบีบแตรแล้วยกมือ หรือเปิดไฟกระพริบ หมายถึงการขอบคุณ
   -  ถ้าเปิดไฟสูง หมายถึง การให้รถเราที่ขอสัญญาณอะไรอยู่ทำได้ เช่นกำลังเปิดไฟขอเลี้ยว รถที่เปิดไฟสูงจะจอดให้รถเราได้เลี้ยว
   -  ถ้ารถสามารถเลี้ยวได้ แต่สัญญาณไฟสำหรับคนหรือจักรยานข้ามยังเป็นสีเขียว ต้องให้คนหรือจักรยานข้ามไปก่อน ถึงจะเลี้ยวได้
   -  ส่วนใหญ่แล้วขับกันอยู่ที่ความเร็ว 40 -60

ข้อที่ 10. ตอนกลางคืน ถึงเข้านอนแล้ว บ้านคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ชั้นล่างจะเปิดไฟหรี่สีเหลือง ๆ ทิ้งไว้ ในห้องนอนก็เปิดไฟหรี่สีเหลือง ๆ ทิ้งไว้ ตอนแรกบ้านเราก็เป็นแบบนั้น แต่ด้วยความที่ว่าอยากประหยัดไฟ (นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ยังดี) เลยบอกคุณซูว่าปิดเถอะ

ข้อที่ 11. ถ้าเราได้นั่งไม่ว่าจะอยู่บนรถเมล์ หรือรถไฟ ถ้ามีผู้หญิงท้องแล้วท้องอาจจะยังไม่โต เลยดูไม่ค่อยออกว่าเป็นคนท้อง แต่ถ้าเขาแขวนป้ายว่า “เป็นคนท้อง” ต้องรีบลุกขึ้นให้เขานั่ง และที่นั่งบริเวณที่เป็นสำหรับคนท้อง คนชรา ต้องปิดสัญญาณมือถือ ถ้าไม่ใช่บริเวณนี้ ให้ใช้โหมดสั่นแทนได้

ข้อที่ 12. หลาย ๆ ครอบครัว เพื่อเป็นการประหยัดน้ำ จะใช้น้ำที่ใช้จากการลงอ่างอาบน้ำ (โอะฟุโระ) ซักผ้าต่อ มีเครื่องถ่ายน้ำมาที่เครื่องซักผ้าขายด้วย แต่บ้านเราเราใช้น้ำโอะฟุโระของแต่ละครั้งประมาณ 3 วัน หลังจากนั้นถ้าไม่ได้ใส่ผงสำหรับแช่ ก็จะเอาไปรดน้ำต้นไม้ต่อ แล้วค่อยขัดอ่าง

ข้อที่ 13. เวลาลองชุดที่ห้องลอง รองเท้าเราต้องถอดแล้ววางด้านนอกห้อง บางร้านให้เอารองเท้าเข้าไปได้แต่ก็ให้วางด้านล่าง
และส่วนใหญ่เวลาเราตัดสินใจเอาเสื้อผ้าชิ้นไหนแล้ว คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่ถามว่ามีชิ้นใหม่หรือเปล่า จะเอาจากราวที่มีอยู่ ถึงจะมีแค่ตัวเดียว เขาก็ซื้อกัน นอกจากทางร้านจะเสนอเองว่าเดี๋ยวหยิบชิ้นใหม่มาให้

ข้อที่ 14. ไปซื้อของที่ซุปเปอร์ ถ้าคิวยาวมาก ๆ พนักงานจะเปิดเค้าน์เตอร์ใหม่ให้ พนักงานแคชเชียร์จะเรียกคิวแรกที่กำลังรอ ให้ไปจ่ายที่เค้าน์เตอร์ใหม่ และของในตระกร้า พอจ่ายเงินเสร็จ เราต้องใส่ลงถุงเอง (จะมีที่ให้ใส่)

ข้อที่ 15. การลงรถเมล์ ต้องกดกริ่ง และต้องให้รถจอดก่อนถึงค่อยลุก แล้วค่อยไปจ่ายเงิน (ในกรณีที่ไม่มีบัตรเติมเงินประเภทต่าง ๆ อย่างบัตร SUICA เป็นต้น)  ถ้าไม่มีเหรียญ ที่เครื่องจ่ายเงินนั้นก็จะมีเครื่องแลกเงิน ให้เราให้แบ็งค์ใส่เข้าไป เหรียญก็จะออกมา แล้วค่อยเอาไปหยอดที่ช่องค่าโดยสาร

ข้อที่ 16. ที่ร้านอาหารหรือร้านกาแฟ สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ก็ต้องทน เพราะถึงจะมีแบ่งที่ว่าเป็นที่สำหรับสูบบุหรี่ได้ ที่บริเวณนี้ห้ามสูบ แต่ก็เป็นห้องเดียวกัน กลิ่นก็วนเวียนอยู่ในนั่นแหล่ะ

ข้อที่ 17. โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบวางกระเป๋า หรือถุงหรือสัมภาระกับพื้นบริเวณที่เรายืน อย่างตอนรอรถ หรือบนรถไฟ แต่ที่นี่เขาวางกันเป็นปกติ ไม่กลัวว่าก้นกระเป๋า ก้นถุงจะเลอะเทอะอะไรเลย

ข้อที่ 18. การพาหมาไปเดินเลิน ก็เป็นกิจวัตรประจำวันของแม่บ้าน หรือคนเลี้ยง แต่พวกเขาจะต้องถือถุงพลาสติกไปด้วย เพราะถ้าเจ้าดุ๊กดิ๊กอึ เจ้าของต้องเก็บอึด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาคอยระวังว่าจะเหยียบขี้หมาหรือเปล่า (แต่ก็มีบางคนไม่เก็บเหมือนกัน)

ข้อที่ 19. ไปรักษาโรคที่โรงพยาบาล เขามีเวลาเปิดปิดเค้าท์เตอร์ลงทะเบียนผู้ป่วยด้วย ต้องไปให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้น ต้องรอรอบถัดไป หรือวันถัดไป และการจ่ายยา เราจะไม่ได้รับยาโดยตรงจากทางโรงพยาบาล ต้องเอาใบจ่ายยาไปซื้อที่ร้านที่รับใบจ่ายยา (ไม่รู้เป็นเหมือนกันทุกที่หรือเปล่า)

ข้อที่ 20. การใส่หน้ากากอนามัย ถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ถึงเราไม่ได้เป็นไข้หวัด ปกตินี่แหล่ะ จะใส่เพื่อเป็นแฟชั่นตามเขาก็ได้

ข้อที่ 21. จักรยานถือเป็นพาหนะที่เจอทั่วไปบนฟุตบาท เพราะฉะนั้นเวลาเราเดินก็ต้องระวังจักรยานชน

ข้อที่ 22. ทำมิโซะซุป ตัวเนื้อมิโซะซุป เราคนด้วยทัพพีธรรมดา โดนคุณซูดุเลยว่า "นึกแล้วว่าทำไมยังเป็นก้อน ๆ" เพราะฉะนั้นการทำมิโซะซุป ต้องเอาเนื้อมิโซะใส่บนทัพพีที่มีรู แล้วก็ค่อยๆ ละลาย ๆ จนหมด จะได้ไม่มีก้อนหลงเหลือ
ข้อที่ 23. ทิชชูในห้องน้ำ เราสามารถทิ้งลงไปในชักโครกได้เลย ส่วนถังขยะที่มีไว้ไห้ จะสำหรับทิ้งพวกผ้าอนามัย ฯ แต่ถ้าใครใช้ทิชชูเปียกก็ต้องเลือกแบบที่เขียนว่าสามารถทิ้งลงไปในชักโครกได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้ตันได้
ข้อที่ 24.  แม่บ้านแถวบ้านเราเขาซักผ้ากันทุกวันเลย เลยทำให้เราต้องซักเกือบทุกวันเหมือนกัน (ติดนิสัยมา) เพราะตอนอยู่ไทยตอนที่ทำงานต่างจังหวัด จำได้ว่าสักประมาณอาทิตย์ละครั้งได้
ข้อที่ 25. เนื้อหมูหรือเนื้ออื่นๆที่ขายตามซุปเปอร์เป็นแพ็ค.ๆไม่จำเป็นต้องล้างก่อนนำมาทำอาหารแหละ.ช่วงแรกชินกับตอนอยู่ไทย.ล้างก่อนตลอด.ตอนนี้ไม่หละ
ข้อที่ 26. ถ้าเราพาเด็ก ๆ ไปเที่ยว คุณซูจะบอกเสมอว่าถ้าจะให้เด็กนั่งที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งบนรถไฟ ที่นั่งตามร้านอาหาร ให้ถอดรองเท้าเด็กออกก่อน เผื่อเด็กปีน หรือยืนบนที่นั่ง ก็จะทำให้เบาะเปื้อน
ข้อที่ 27. ตอนนี้เราท้องอยู่ เวลาไปซื้อของที่ซุปเปอร์ ถ้าคิวไม่ยาว แคชเชียร์เขาจะช่วยยกตระกร้าที่เราจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปวางที่โต๊ะสำหรับใส่ลงถุงให้ ใจดีจัง
ข้อที่ 28. เราเคยเห็นแม่ลูกคู่นึง เด็กก็คงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอกนะ พอเห็นลิฟต์ลงมา เด็กก็จะเข้าไปก่อน แม่เขาสอนเลยว่าให้รอ (เพราะเขามาหลังเรา) สิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นเข้าคิวต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่เราก็เคยเห็นบางรายการที่เขาฉาย เราก็เห็นคนญี่ปุ่นแย่งซื้อของลดราคากันเหมือนกันนะ อย่างว่าของถูกใคร ๆ ก็อยากซื้ออ่ะเนอะ
ข้อที่ 29. ถึงจะเข้าหน้าร้อน คุณซูก็ยังคงจะอาบด้วยน้ำอุ่น แช่น้ำอุ่น เพราะเขาบอกว่าช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น แต่เราไม่ไหวอ่ะ อาบน้ำเย็นเลย ไม่ลงแช่น้ำอุ่นด้วย ร้อนเกิน 
ข้อที่ 30. เราสามารถขอใช้ห้องน้ำตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปได้ สะดวกดีเหมือนกันเวลาเดินทางไปไหนไกล ๆ 
ข้อที่ 31. คุณซูเอารถเข้าเช็คที่ศูนย์อย่างเช็คระยะ หรือเปลี่ยนแบต หรืออื่น ๆ ทางศูนย์เขาไม่ได้ล้างรถให้เราแหละ จะต่างกับตอนที่เราเอารถเข้าศูนย์ฮอนด้าที่ไทย (ไม่รู้ศูนย์บริษัทอื่นจะเหมือนกันมั้ย) ทุกครั้งรถจะใหม่ สะอาดออกมาเลย 
ข้อที่ 32. ปั้มน้ำมันที่นี่จะมีบริการให้เราเติมน้ำมันเอง คุณซูมักจะเลือกแบบบริการตัวเอง เพราะคุณซูบอกว่าจะถูกกว่าที่มีพนักงานมาบริการให้นิดหน่อย เราก็ไม่รู้ว่าจะเหมือนกันทุกปั้มหรือเปล่า สำหรับปั้มที่เราใช้อยู่ก็จะมีบริการล้างรถแบบหยอดเหรียญ พอล้างเสร็จ ก็จะมีส่วนที่ให้เรามาเช็คทำความสะอาดอีกที จะมีผ้าขนหนูเล็ก ๆ เตรียมไว้ให้  มีเครื่องดูดฝุ่นแบบหยอดเหรียญ  มีเครื่องทำความสะอาดพรมในรถด้วย 
ข้อที่ 33. ถ้าเราทานข้าวนอกบ้าน เวลาเข้าไปในร้านแล้ว ถ้าพนักงานยังไม่มาเชิญให้เราไปนั่งที่โต๊ะ เราก็ต้องยืนรอบริเวณประตูจนกว่าพนักงานจะมา ถ้าพนักงานยุ่ง ๆ อยู่ก็อาจจะรอนานหน่อย  จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าการไปนั่งที่โต๊ะว่าง ๆ เองจะได้หรือเปล่า เพราะเราเห็นก็มีแต่คนยืนรออ่ะ
ข้อที่ 34. ป้ายที่แขวนบนท้องถนน แบบว่าถ้าจะไปที่นี่ตรงไป หรือเลี้ยวซ้ายขวา ที่ญี่ปุ่นใช้สีน้ำเงินหล่ะ (ที่ไทยใช้สีเขียว) ส่วนป้ายที่เป็นสีเขียวที่ญี่ปุ่นจะหมายถึงไปทางด่วน (ซึ่งที่ไทยทางด่วนจะเป็นป้ายสีน้ำเงินเนอะ) สลับกัน
ข้อที่ 35. ตามโฮมเซ็นเตอร์ จะมีขายพวกดอกไม้ ต้นไม้ กระถางด้วย สะดวกดีเหมือนกัน 
ตอนนี้มีประมาณเท่านี้ ถ้าเจออะไรใหม่ ๆ จะอัพเดทอีกทีนะคะ ^^

1 ความคิดเห็น: